บล็อกนี้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ

วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วิธีการลงWindows 7

วิธีการลงWindows 7 ดังนี้ครับ

1. ใส่แผ่น Windows7 ลงใน CD-Rom จากนั้นทำการ Boot Computer
เมื่อเห็นข้อความดังกล่าวดังรูป ให้กด Enter 1ครั้งเพื่อเป็นการเข้าสู้หน้าต่างของการลง Windows7
** ในการปรับให้ให้ Bios นั้น Boots จากแผ่้นเป็นอันดับแรก
-โดยส่วนมาก PC จะกด del / . เข้าไปทำการเซ็ตค่า
- Notebook ส่วนมากจะกด F2 หรือให้สังเกตุดีๆตอนที่คอมพิวเตอร์Boot มันจะบอกอยู่
-แต่ถ้าเราต้องการกดใช้ Boot menu เลย ทั้ง Notebook / pc ส่วนมากจะกด F12 , F10 ครับ
13

2. ให้เราทำการเลือกดังภาพ
Language to install : English
Time : Thai(Thailand)
Keyboard : US ให้เลือกเป็น US ก่อน
Windows7_1





















3. จากนั้นให้ทำการกด Install now
Windows7_2





















4. ให้เราเลือก OS ที่เราต้องการลง โดยจะ มีทั้ง x86(32bit) , x64(64bit) แนะนำว่าผู้ใช้ทั่วไปควรลง x86 และกด Next
Windows7_3





















5. ยอมรับเงื่อนไข Lincene ของ windows 7
- ให้เราทำการ ติ๊ก(√) I accept the license > Next
Windows7_4





















6. เมื่อผู้อ่านลง Windows 7 ใหม่หรือลงครั้งแรกจากการซื้อคอมพิวเตอร์ ก็ให้เลือก Custom(advanced)
Windows7_5

7. ขั้นตอนนี้เราเราเลือก Drive ที่จะลง OS Windows7 ส่วนมาก จะลงใน Disk 0 นะครับ ก็คือ Drive C: ของ windows เรานั้นเอง อย่าลง ผิด Drive นะครับดูดีๆ
Update 17/03/2012 ส่วนมากเวลาเราลง Windows 7 เราต้องรู้ว่า Partition ไหนเป็นของ Drive C สำหรับคนที่เคยลง Windows แล้วจะรู้ดีึครับ
ส่วนมากจะเป็น Disk0 Partition 1 หรือ 2 ก็ว่ากันไป ดูดีๆครับ
อย่าง ในรูปตัวอย่าง Disk 0 Patition 1 : system Reserved  << อันนี้เป็น Partition ของระบบ  บางคอมพิวเตอร์อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้นะครับ
ซึ่งผมก็รู้เลยว่า
Disk 0 Patition 2 เป็น Drive C แน่ๆ ผมก็ลง Windows 7 อันนี้แหละครับ
สำหรับคนที่เพิ่งซื้อคอมพิวเตอร์มาก็ให้สร้าง Partition ใหม่ก่อนนะครับ ถึงจะสามารถลงได้
โดยปกติผมจะให้ Drive C ประมาณ 100 GB ครับ
Windows7_6
************
สำคัญ แต่สำหรับคนที่เคยลง windows 7 แล้ว หรือลง windows ตัวอื่นแล้วจะมาลง Windows 7 ใหม่ให้ทำขั้นตอนนี้ด้วยนะครับ
ให้ไปที่ Drive options (advanced)
windows7_15
จาก นั้นให้เราเลือก Drive ที่เราเคยลง OS มาก่อน จากนั้นก็เลือก format ก่อนครับ จากนั้นก็เลือก Drive ที่เราจะลง OS จากนั้นก็กด Next



windows7_16



8. ขั้นตอนนี้ให้เรารอเวลาใน Install windows 7
Windows7_7

9. หลังจากนั้นให้เราใส่ชื่อ ผู้ใช้ อาทิเช่น ITITHAI จากนั้นก็กด Next
Windows7_8

10. Windows จะให้เราใส่ Password ในการ Login แต่ถ้าเราไม่ต้องการใส่ก็ให้ข้ามขั้นตอนนี้ไปเลยครับ
Windows7_9

11. ขั้นตอนนี้ให้เราใส่ Product key ซึ่ง Product key จะอยู่ที่กล่อง ที่เราทำการซื้อ Windows 7 มาครับ
Windows7_10

12. ขั้นตอนนี้ให้เราเลือก Use recommended Setting เพื่อเป็นการ Update Patch windows ต่างๆ
Windows7_11

13. ให้เราเลือกเวลา Time Zone : UTC+07.00 Bangkok,Hanoi,Jakarta
windows7_12

14. ในหัวข้อนี้ถ้าเรายังไม่แน่ใจ ให้เราเลือก Public network (ตามที่Microsoft แนะนำ)
Windows7_14

15. จากนั้นเราก็จะได้ Window7 ที่หน้าตาที่สวยงาม ดังภาพ ครับ โชคดีในการลงนะครับ

windows7-13

16. ก็เป็นเสร็จสิ้นในการลง Windows 7 แล้ว เป็นไงละครับ ง่ายไหมครับ กับการลง Windows 


จาก http://www.itithai.com/article-tips/windows/120-how-to-install-windows7.html

วิธีติดตั้ง Joomla

.ลิขสิทธิ์ ของโปรแกรม Joomla 1.5

Joomla - เทมเพลต โมดูล Component

วิธีติดตั้ง Joomla 1.5

Joomla เป็น CMS หรือพูดภาษาบ้านๆว่าเป็น โปรแกรมสร้างเว็บ ชนิดหนึ่ง มีความสามารถครบ และได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีความปลอดภัยสูง และเป็นที่นิยม ใช้สร้างเว็บไซต์ กันมากมายทั้งคนไทยและต่างประเทศ
ก่อน ติดตั้ง ต้องจำลอง เครื่อง เราเป็น Web Server ก่อน ตามลิงค์นี้ครับ
http://www.mindphp.com/modules.php?name=News&file=article&sid=15
และเตรียมฐานข้อมูล ตามรูปด้านล่างนี้
สร้างฐานข้อมูล สำหรับติดตั้ง Joomla 1.5

ขั้นตอน การติดตั้ง Joomla 1.5

1.ดาวน์โหลด Joomla 1.5 มาก่อน โหลด และ ติดตามข่าวความเคลื่อนไหว ได้ที่
http://www.mindphp.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=2551
2.เมื่อดาวน์โหลด มาแล้ว ให้ Unzip Joomla-1.5.0.zip ไฟล์ ไปไว้ที่ D:xampphtdocsjoomla15
ดาวน์โหลด มาแล้ว ให้ Unzip Joomla-1.5.0.zip
3.เข้าไปที่ http://localhost/joomla15/ จะได้หน้าจอดังที่
4.เลือกภาษา การแสดงผล สำหรับการติดตั้ง Joomla 1.5
เลือกภาษา สำหรับ การแสดงผล  สำหรับการติดตั้ง
5.ตรวจสอบก่อนการติดตั้งสำหรับ ต้องเป็นสีเขียวทั้งหมด ถ้ามี สีแดงอยู่ ให้ปรับแต่ server ก่อน แล้ว คลิก ตรวจสอบอีกครั้ง
ถ้ามีสีเขียวทั้งหมดแล้ว ให้ คลิก ปุ่ม ถัดไป ได้เลย
ตรวจสอบ config ของ server สำหรับ การติดตั้ง joomla 1.5
6.ลิขสิทธิ์ ของโปรแกรม Joomla 1.5 คลิก ปุ่ม ถัดไป
7.กรอกรายละเอียดของ ฐานข้อมูล
ชนิดฐานข้อมูล ให้เลือก เป็น Mysql
ชื่อโฮสต์ ใส่เป็น localhost
ชื่อผู้ใช้ฐานข้อมูล,รหัสผ่าน,ชื่อฐานข้อมูล ตามที่เราได้กำหนดไว้
เมื่อกรอกเรียนร้อยแล้วให้คลิก ปุ่ม ถัดไป
กรอก รายละเอียดฐานข้อมูล Joomla การติดตั้ง วิธีติดตั้ง
8.กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับ FTP สำหรับ ติดตั้งที่ เครื่องตัวเองไม่ต้องกำหนด
FTP สำหรับ ติดตั้งที่ เครื่องตัวเอง Joomla การติดตั้ง วิธีติดตั้ง
9.กำหนด ชื่อเว็บ e-mail และรหัสผ่านของ admin
กำหนด ชื่อเว็บ e-mail และรหัสผ่านของ admin ของ การติดตั้ง Joomla 1.5
10.เสร็จ
ติดตั้ง Joomla เสร็จสิน
ไปที่
http://localhost/joomla15/administrator/
Login ใน ฐานนะ admin ใน Joomla 1.5
หน้าจอ ของ admin
joomla admin panel
สำหรับการใช้งาน หรือมีข้อสงสัยในการติดตั้ง สอบถามได้ที่
เสร็จสินการติดตั้ง Joomla 1.5



วิธีการติดตั้ง Joomla 2.5
มีปัญหาสอบถามได้ที่เว็บบอร์ด php

หมายเหตุ: โปรแกรม Joomla เป็น โปรแกรมสร้างเว็บ ที่เขียนขึ้นมาจาก ภาษา php สามารถโหลด ไปติดตั้ง ได้ ฟรี เราเพียงเรียนรู้ โปรแกรมสร้างเว็บ Joomla ตัวนี้ก็สามารถสร้างเว็บไซว์ ด้วยตัวเองได้แล้ว

                             

Re: วิธีติดตั้ง Joomla 1.5 ขั้นตอน การติดตั้ง การ Install (คะแนน: 1)
โดย mindphp เมื่อ Tuesday 15 Apr 08@ 02:14:11 ICT
(ข้อมูลผู้ใช้ | ส่งข้อมูลออกไป | วารสาร) http://www.kimjiawedding.com
ตอนนี้ Joomla 1.5 ภาษาไทย ออกแล้วนะครับ หาโหลดมาใช้ได้ที่
ไฟล์ภาษาไทย ด้านหน้าเว็บ [joomlacode.org] ไฟล์ภาษาไทย ด้านผู้ดูแลระบบ (admin) [joomlacode.org]

การติดตั้งและใช้งานโปรแกรม EditPlus ช่วยสำหรับเขียนหรือแก้ไข Code

การติดตั้งและใช้งานโปรแกรม EditPlus ช่วยสำหรับเขียนหรือแก้ไข Code
จากที่ได้แนะนำไปแล้วว่า โปรแกรม Editor สำหรับการเขียนหรือแก้ไข Code สคริปต์ต่าง ๆ จะไม่สามารถใช้ Notepad ที่มีมากับ Windows ในการแก้ไขได้ ดังนั้น ตรงนี้ ขอแนะนำขั้นตอนและวิธีการติดตั้งโปรแกรม EditPlus สำหรับใช้งาน โดยที่ ตัวโปรแกรม สามารถหาดาวน์โหลดได้จาก http://www.editplus.com ขั้นแรก ทำการดาวน์โหลด มาเก็บไว้ใน เครื่องของเราก่อนครับ โปรแกรมนี้เป็น shareware แต่ก็สามารถใช้งานได้ครับ จากนั้น จึงทำการติดตั้ง โดยเรียกไฟล์ ep2setup.exe และทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
หลังจากที่เรียกไฟล์สำหรับทำการติดตั้ง

กดที่ปุ่ม Setup เพื่อเริ่มต้นการติดตั้ง


กดที่ปุ่ม Yes เพื่อทำการติดตั้งต่อไป

เลือก Folder ที่จะทำการติดตั้งและกดที่ปุ่ม Start Copy เพื่อทำการติดตั้งต่อไป

กดที่ปุ่ม Yes เพื่อทำการติดตั้งต่อไป

เลือก Program Group กดที่ปุ่ม OK เพื่อทำการติดตั้งต่อไป

จบขั้นตอนการติดตั้ง กดที่ปุ่ม Exit เพื่อเสร็จขั้นตอน
และเนื่องจากโปรแกรมนี้เป็น Shareware ดังนั้น เมื่อมีการเรียกใช้งานโปรแกรม EditPlus จะมีหน้าตาดังนี้

ทุกครั้งก็กดที่ปุ่ม I Agree ครับ หรือหากไม่ต้องการให้มีเมนูนี้ขึ้นมา ก็ต้องทำการหา code สำหรับทำการ Registration มาใส่
หากการใช้งานต้องการให้แสดงตัวอักษรต่าง ๆ เป็นภาษาไทยได้ ให้ทำการเลือกที่เมนู Tools >> Preferences เลือกที่ช่อง Fonts และเลือกฟอนต์ตามตัวอย่างตามภาพครับ

กดที่ปุ่ม OK เป็นอันจบขั้นตอนของการติดตั้งโปรแกรม EditPlus สำหรับการเขียนหรือแก้ไขสคริปต์ต่าง ๆ ครับ
นอกจากนี้ เมื่อมีการใช้งานโปรแกรม Edit Plus สำหรับเขียน CGI จริง ๆ ก็จะต้องทำการเปลี่ยนรูปแบบของไฟล์ จากเดิมที่เป็นระบบ PC ให้เป็น UNIX ก่อนที่จะทำการ Upload ขึ้นไปใส่ Server ด้วย วิธีการเปลี่ยนทำได้โดยการเลือกที่เมนู Document และ File Format จากนั้นเลือก Unix นะครับ

การใช้งานอย่างอื่นของ Edit Plus ก็จะไม่มีอะไรมาก เป็นเหมือนกับการใช้งานโปรแกรมทั่ว ๆ ไปอื่น ๆ ครับ

                                                                                                    จาก http://www.com-th.net/main/2008/11

คำสั่ง for ในภาษา PHP

 คำสั่ง for ในภาษา PHP

รูปแบบคำสั่ง: for
การใช้งานเบื้องต้น: ใช้สำหรับการทำงานซ้ำๆ
บทก่อนหน้า: คำสั่งวน loop ในภาษา PHP

การใช้งานคำสั้ง for เบื้องต้น

การใช้งานคำสั้ง for จะประกอบไปด้วย 4 ส่วนใหญ่ ๆ นั่นคือ
1. ตัวแปรสำหรับค่าเริ่มต้น
2. เงื่อนไขสำหรับการทำซ้ำ
3. คำสั่งสำหรับทำ กรณีเงื่อนไขเป็นจริง
4. ปรับปรุงค่าของตัวแปรเริ่มต้น

ทั้งหมดนี้จะเป็นการทำงานของ for ในทีละขั้นตอน อาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนะครับ เรามาอธิบายด้วยโค๊ดโปรแกรมและรูปภาพการทำงานกันเลย

โปรแกรม: แสดงตัวเลข 1 - 10 ออกทางหน้าจอ
Output:
01.1
02.2
03.3
04.4
05.5
06.6
07.7
08.8
09.9
10.10
โค๊ดโปรแกรมที่ได้:
1.<?php
2.for($i=1;$i<=10;$i++){
3.echo $i . "<br>";
4.}
5.?>
การทำงานของโปรแกรม ( อธิบายการทำงานโดยรูปภาพ ):

อธิบายการทำงานของโปรแกรม:
1. เมื่อรันโปรแกรม โปรแกรมจะทำการดูที่ "ตัวแปรเริ่มต้น" ก่อนเป็นอันดับแรก ในที่นี้กำหนดให้ตัวแปร $i มีค่าเท่ากับ 1
2. จากนั้นจะตรวจสอบ "เงื่อนไข" ว่าเป็นจริงหรือไม่? ในที่นี้เชคว่า $i มีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับ 10 หรือไม่? ถ้าจริง จะทำตาม "คำสั่ง ( Statement ) " ภายใน { ... } ทั้งหมด
3. หลังจากทำตามคำสั่งทั้งหมดแล้ว จะไปทำในส่วนของ "ปรับปรุงตัวแปรเริ่มต้น" เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการทำคำสั่ง for loop
4. หลังจากนั้นจะวนกลับมาคำ "ข้อ 2" อีกครั้ง จนกว่าเงื่อนไขจะเป็นเท็จ จะหยุดคำสั่ง for loop ลง

ปล. ในรอบแรก ค่าเริ่มต้น ( $i ) จะมีค่าตาม "ข้อ 1" คือมีค่าเท่ากับ 1 แต่หลังจากทำข้อ 3 แล้ว และไปทำข้อที่ 4 จะทำให้ $i มีค่าเท่ากับ 2, 3, 4, ... ตามลำดับ เพราะว่าคำสั่งปรับปรุงค่าคือ $i++ หมายถึง เพิ่มค่า $i ไปอีก 1 นั่นเอง

คำเตื่อน: หากเงื่อนไขเป็นจริงตลอด และไม่มีวันเป็นเท็จเลย จะทำให้เกิด "Infinish Loop" และจะทำให้โปรแกรมหรือหน้าเว็บไซต์ค้างได้ เพราะฉะนั้น การเขียนโปรแกรมประเภท Loop จะต้องตรวจสอบเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ชัดเจนและจะต้องมีจุด ๆ หนึ่งที่เงื่อนไขเป็นเท็จ เพื่อหยุดคำสั่ง Loop นั้น ๆ นะครับ


                                                        จาก http://www.xvlnw.com/knowledge-readknowledge-id186.html

วิธีการติดตั้งโปรแกรม AppServ

วิธีการติดตั้งโปรแกรม AppServ


เตรียมโปรแกรมเพื่อติดตั้ง
       ดาวน์โหลดโปรแกรม AppServ จากเว็บไซต์ http://www.appservnetwork.com โดยเลือกเวอร์ชั่นที่ต้องการติดตั้งระหว่างเวอร์ชั่น 2.4.x และ 2.5.x
โดยความแตกต่างของ 2 เวอร์ชั่นนี้คือ
          2.4.x คือเวอร์ชั่นที่นำ Package ที่มีความเสถียรเป็นหลัก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นคงของระบบ
                  โดยไม่ได้มุ่งเน้นที่จะใช้ฟังก์ชั่นใหม่
          2.5.x คือเวอร์ชั่นที่นำ Package ใหม่ๆ นำมาใช้งานโดยเฉพาะ เหมาะสำหรับนักพัฒนาที่ต้องการระบบใหม่ๆ
                  หรือต้องการทดสอบ ทดลองใช้งานฟังก์ชั่นใหม่ ซึ่งอาจจะไม่ได้ความเสถียรของระบบได้ 100%
                  เนื่องจากว่า Package จากนักพัฒนานั้น ยังอยู่ในช่วงของขั้นทดสอบ ทดลองเพื่อหาข้อผิดพลาดอยู่

ขั้นตอนการติดตั้ง AppServ

       1. ดับเบิ้ลคลิกไฟล์ appserv-win32-x.x.x.exe เพื่อทำการติดตั้ง จะปรากฏหน้าจอตามรูปที่ 1

          

                                             รูปที่ 1 ขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรม AppServ

       2. เข้าสู่ขั้นตอนเงื่อนไขการใช้งานโปรแกรม โดยโปรแกรม AppServ ได้แจกจ่ายในรูปแบบ GNU License หากผู้ติดตั้ง
           อ่านเงื่อนไขต่างๆ เสร็จสิ้นแล้ว หากยอมรับเงื่อนไขให้กด Next เพื่อเข้าสู่การติดตั้งในขั้นต่อไป แต่หากว่าไม่ยอมรับเงื่อนไข
           ให้กด Cancel เพื่อออกจากการติดตั้งโปรแกรม AppServ ดังรูปตัวอย่างที่ 2

          

                                           รูปที่ 2 แสดงรายละเอียดเงื่อนไขการ GNU License

       3. เข้าสู่ขั้นตอนการเลือกปลายทางที่ต้องการติดตั้ง โดยค่าเริ่มต้นปลายทางที่ติดตั้งจะเป็น C:AppServ
           หากต้องการเปลี่ยนปลายทางที่ติดตั้ง ให้กด Browse แล้วเลือกปลายทางที่ต้องการ ตามรูปที่ 3 เมื่อเลือกปลายทางเสร็จสิ้น
           ให้กดปุ่ม Next เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการติดตั้งขั้นต่อไป
          

                                             รูปที่ 3 เลือกปลายทางการติดตั้งโปรแกรม AppServ

       4. เลือก Package Components ที่ต้องการติดตั้ง โดยค่าเริ่มต้นนั้นจะให้เลือกลงทุก Package แต่หากว่าผู้ใช้งาน
           ต้องการเลือกลงเฉพาะบาง Package ก็สามารถเลือกตามข้อที่ต้องการออก โดยรายละเอียดแต่ละ Package มีดังนี้
                 - Apache HTTP Server คือ โปรแกรมที่ทำหน้าเป็น Web Server
                 - MySQL Database คือ โปรแกรมที่ทำหน้าเป็น Database Server
                 - PHP Hypertext Preprocessor คือ โปรแกรมที่ทำหน้าประมวลผลการทำงานของภาษา PHP
                 - phpMyAdmin คือ โปรแกรมที่ใช้ในการบริหารจัดการฐานข้อมูล MySQL ผ่านเว็บไซต์
           เมื่อทำการเลือก Package ตามรูปที่ 4 เรียบร้อยแล้ว ให้กด Next เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการติดตั้งต่อไป
          

                                        รูปที่ 4 เลือก Package Components ที่ต้องการติดตั้ง

       5. กำหนดค่าคอนฟิกของ Apache Web Server มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 ส่วน ตามรูปที่ 5 คือ
                 Server Name   คือช่องสำหรับป้อนข้อมูลชื่อ Web Server ของท่านเช่น www.appservnetwork.com
                 Admin Email    คือช่องสำหรับป้อนข้อมูล อีเมล์ผู้ดูแลระบบ เช่น root@appservnetwork.com
                 HTTP Port       คือช่องสำหรับระบุ Port ที่จะเรียกใช้งาน Apache Web Server โดยทั่วไปแล้ว Protocol
                                      HTTP นั้นจะมีค่าหลักคือ 80 หากว่าท่านต้องการหลีกเลี่ยงการใช้ Port 80 ก็สามารถแก้ไขได้
                                      หากมีการเปลี่ยนแปลง Port การเข้าใช้งาน Web Server แล้ว ทุกครั้งที่เรียกใช้งานเว็บไซต์
                                      จำเป็นที่ต้องระบุหมายเลข Port ด้วย เช่น หากเลือกใช้ Port 99 ในการเข้าเว็บไซต์ทุกครั้งต้องใช้
                                      http://www.appservnetwork.com:99 จึงจะสามารถเข้าใช้งานได้
          

                                        รูปที่ 5 แสดงการกำหนดค่าคอนฟิกค่า Apache Web Server

       6. กำหนดค่าคอนฟิกของ MySQL Database มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 ส่วน ตามรูปที่ 6 คือ
                 Root Password        คือช่องสำหรับป้อน รหัสผ่านการเข้าใช้งานฐานข้อมูลของ Root หรือผู้ดูแลระบบ
                                             ทุกครั้งที่เข้าใช้งานฐานข้อมูลในลักษณะที่เป็นผู้ดูแลระบบ ให้ระบุ user คือ root
                 Character Sets        ใช้ในการกำหนดค่าระบบภาษาที่ใช้ในการจัดเก็บฐานข้อมูล, เรียงลำดับฐานข้อมูล,
                                             Import ฐานข้อมูล, Export ฐานข้อมูล, ติดต่อฐานข้อมูล
                 Old Password          หากท่านมีปัญหาเกี่ยวกับการใช้งาน PHP กับ MySQL API เวอร์ชั่นเก่า
                                             โดยเจอ Error Client does not support authentication protocol requested by server;
                                                             consider upgrading MySQL client
                                             
ให้เลือกในส่วนของ Old Password เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้
                 Enable InnoDB        หากท่านต้องการใช้งานฐานข้อมูลในรูปแบบ InnoDB ให้เลือกในส่วนนี้ด้วย

          

                                        รูปที่ 6 แสดงการกำหนดค่าคอนฟิกของ MySQL Database

       7. สิ้นสุดขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรม AppServ สำหรับขั้นตอนสุดท้ายนี้จะมีให้เลือกว่าต้องการสั่งให้มีการรัน Apache และ MySQL
           ทันทีหรือไม่ จากนั้นกดปุ่ม Finish เพื่อเสร็จสิ้นการติดตั้งโปรแกรม AppServ

          

                                       รูปที่ 7 แสดงหน้าจอขั้นตอนสิ้นสุดการติดตั้งโปรแกรม AppServ











บทความโดย : ภาณุพงศ์ ปัญญาดี

Copyright © by AppServNetwork All Right Reserved.
Published on: 2006-10-10 (210259 reads)

ตัวแปรในภาษาซี


ครูขวัญจิตร สุวรรณวงศ์ สาระคอมพิวเตอร์ โรงเรียนลำปางกัลยาณี www.lks.ac.th/kuanjit e-mail : suwannawongse@hotmail.com
ตัวแปรในภาษาซี
     ตัวแปร (Variable) คือ การจองพื้นที่ในหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์สำหรับเก็บข้อมูลที่ต้องใช้ในการ ทำงานของโปรแกรม  โดยมีการตั้งชื่อเรียกหน่วยความจำในตำแหน่งนั้นด้วย  เพื่อความสะดวกในการเรียกใช้ข้อมูล  ถ้าจะใช้ข้อมูลใดก็ให้เรียกผ่านชื่อของตัวแปรที่เก็บเอาไว้
ชนิดของข้อมูล        ภาษาซีเป็นอีกภาษาหนึ่งที่มีชนิดของข้อมูลให้ใช้งานหลายอย่างด้วยกัน  ซึ่งชนิดของข้อมูลแต่ละอย่างมีขนาดเนื้อที่ที่ใช้ในหน่วยความจำที่แตกต่าง กัน  และเนื่องจากการที่มีขนาดที่แตกต่างกันไป  ดังนั้นในการเลือกใช้งานประเภทข้อมูลก็ควรจะคำนึงถึงความจำเป็นในการใช้งาน ด้วย  สำหรับประเภทของข้อมูลมีดังนี้คือ
1.  ข้อมูลชนิดตัวอักษร (Character) คือข้อมูลที่เป็นรหัสแทนตัวอักษรหรือค่าจำนวนเต็มได้แก่ ตัวอักษร ตัวเลข และกลุ่มตัวอักขระพิเศษใช้พื้นที่ในการเก็บข้อมูล 1 ไบต์ 2. ข้อมูลชนิดจำนวนเต็ม (Integer)  คือข้อมูลที่เป็นเลขจำนวนเต็ม  ได้แก่ จำนวนเต็มบวก จำนวนเต็มลบ ศูนย์ ใช้พื้นที่ในการเก็บ 2 ไบต์ 3. ข้อมูลชนิดจำนวนเต็มที่มีขนาด 2 เท่า (Long Integer) คือข้อมูลที่มีเลขเป็นจำนวนเต็ม  ใช้พื้นที่  4 ไบต์ 4. ข้อมูลชนิดเลขทศนิยม (Float) คือข้อมูลที่เป็นเลขทศนิยม ขนาด 4 ไบต์   5. ข้อมูลชนิดเลขทศนิยมอย่างละเอียด (Double) คือข้อมูลที่เป็นเลขทศนิยม ใช้พื้นที่ในการเก็บ 8 ไบต
     การสร้าวตัวแปรขึ้นมาใช้งานจะเรียกว่า  การประกาศตัวแปรรูปแบบในการประกาศตัวแปรในภาษา C
(Variable Declaration) โดยเขียนคำสั่งให้ถูกต้องตามแบบการประกาศตัวแปร  แสดงดังนี้
type name;
type :  ชนิดของตัวแปร name : ชื่อของตัวแปร  ซึ่งต้องตั้งให้ถูกต้องตามหลักของภาษา C
     การเขียนคำสั่งเพื่อประกาศตัวแปร  ส่วนใหญ่แล้วจะเขียนไว้ในส่วนหัวของโปรแกรมก่อนฟังก์ชัน main ซึ่งการเขียนไว้ในตำแหน่งดังกล่าว  จะทำให้ตัวแปรเหล่านั้นสามารถเรียกใช้จากที่ใดก็ได้ในโปรแกรม  ดังตัวอย่าง
#include <stdio.h>
int num; สร้างตัวแปรชื่อ num เพื่อเก็บข้อมูลชนิดจำนวนเต็ม
float y; สร้างตัวแปรชื่อ y เพื่อเก็บข้อมูลชนิดเลขทศนิยม
char n; สร้างตัวแปรชื่อ n เพื่อเก็บข้อมูลชนิดตัวอักขระ
void main()
{
     printf("Enter number : ")
     scanf("%d",&num);
     printf("Enter name : ");
     scanf("%f",&n);
     printf("Thank you");
}
หลักการตั้งชื่อตัวแปร
     ในการประกาศสร้างตัวแปรต้องมีการกำหนดชื่อ ซึ่งชื่อนั้นไม่ใช่ว่าจะตั้งให้สื่อความหมายถึงข้อมูลที่เก็บอย่างเดียว  โดยไม่คำนึงถึงอย่างอื่น   เนื่องจากภาษา C มีข้อกำหนดในการตั้งชื่อตัวแปรเอาไว้  แล้วถ้าตั้งชื่อผิดหลักการเหล่านี้  โปรแกรมจะไม่สามารถทำงานได้  หลักการตั้งชื่อตัวแปรในภาษา C แสดงไว้ดังนี้
1.
ต้องขึ้นต้นด้วยตัวอักษร A-Z หรือ a-z หรือเครื่องหมาย _(Underscore) เท่านั้น
2.
ภายในชื่อตัวแปรสามารถใช้ตัวอักษร A-Z หรือ a-z หรือตัวเลข0-9 หรือเครื่องหมาย _
3.
ภายในชื่อห้ามเว้นชื่องว่าง หรือใช้สัญลักษณ์นอกเหนือจากข้อ 2
4.
ตัวอักษรเลขหรือใหญ่มีความหมายแตกต่างกัน
5.
ห้ามตั้งชื่อซ้ำกับคำสงวน (Reserved Word) ดังนี้
auto
default
float
register
struct
volatile
break
do
far
return
switch
while
case
double
goto
short
typedef
char
else
if
signed
union
const
enum
int
sizeof
unsigned
continue
extern
long
static
void
ตัวอย่างการตั้งชื่อตัวแปรในภาษา C ทั้งที่ถูกต้องและไม่ถูกต้องตามหลักการ  แสดงดังนี้
bath_room ถูกต้อง
n-sync ผิดหลักการ เนื่องจากมีเครื่องหมาย - ปรากฎในชื่อ
108dots ผิดหลักการ เนื่องจากขึ้นต้นด้วยตัวเลข
Year# ผิดหลักการ เนื่องจากมีเครื่องหมาย # อยู่ในชื่อ
_good ถูกต้อง
goto ผิดหลักการ  เนื่องจากเป็นคำสงวน
work ถูกต้อง
break ผิดหลักการ  เนื่องจากเป็นคำสงวน
ตัวแปรสำหรับข้อความ
     ในภาษา C ไม่มีการกำหนดชนิดของตัวแปรสำหรับข้อความโดยตรง  แต่จะใช้การกำหนดชนิดของตัวแปรอักขระ (char) ร่วมกับการกำหนดขนาดแทน  และจะเรียกตัวแปรสำหรับเก้บข้อความว่า  ตัวแปรสตริง (string) รูปแบบการประกาศตัวแปรสตริงแสดงได้ดังนี้
char name[n] = "str";
name
ชื่อของตัวแปร
n
ขนาดของข้อความ หรือจำนวนอักขระในข้อความ
str
ข้อความเริ่มต้นที่จะกำหนดให้กับตัวแปรซึ่งต้องเขียนไว้ภายในเครื่องหมาย "  "
ตัวอย่างการประกาศตัวแปรสำหรับเก็บข้อความ  แสดงได้ดังนี้
char name[5] = "kwan" ; สร้างตัวแปร name สำหรับเก็บ ข้อความ kwan ซึ่งมี  4 ตัวอักษร ดังนั้น name ต้องมีขนาด 5
char year[5] = "2549"; สร้างตัวแปร year สำหรับเก็บ ข้อความ 2549 ซึ่งมี  4 ตัวอักษร ดังนั้น year ต้องมีขนาด 5
char product_id[4] = "A01"; สร้างตัวแปร product_id สำหรับเก็บ ข้อความ A01 ซึ่งมี  3 ตัวอักษร ดังนั้น product_id ต้องมีขนาด 4                                                                                                                  

รู้จักกับ HTML

การสร้างโฮมเพจ

ปัจจุบันระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ได้เข้าไปมีบทบาทในชีวิตประจำวัน ในฐานะที่เป็นแหล่งความรู้ เป็นแหล่งประกอบธุรกิจ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการติดต่อสื่อ สิ่งต่างๆ ที่กล่าวถึงถูกนำเสนอในรูปแบบของโฮมเพจ ทำให้หลาย ๆ คนเกิดคำถามขึ้นมาว่า โฮมเพจเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ในการสร้างโฮมเพจนั้นผู้สร้างต้องมีความรู้เกี่ยวกับภาษา HTML หรือรู้จักวิธีการใช้เครื่องมือต่างๆ ที่อยู่ในรูปแบบของโปรแกรมประยุกต์มาใช้ในการสร้างเว็บเพจ ซึ่งได้แก่ FrontPage DreamWeaver AdobePagemill ฯลฯ นอกจากนั้นยังต้องรู้ขั้นตอนวิธีในการนำโฮมเพจไปเผยแพร่บนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตอีกด้วย

HTML คืออะไร

HTML ย่อมาจากคำว่า Hypertext Markup Language พัฒนามาจากภาษา SGML (Standard Generalized Markup Language) โดย นาย Tim Berners - Lee เป็นภาษามาตรฐานที่ใช้พัฒนาเอกสารในรูปแบบของเว็บเพจบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต การเรียกใช้เอกสารเหล่านี้ทำได้โดยการใช้โปรแกรมเว็บบราวเซอร์ (Web Browser) เช่น Mosaic , Opera , Nescape navigator , Internet Explorer ฯลฯ เรียกดูแฟ้มที่สร้างด้วยภาษา HTML ข้อดีของ HTML คือสามารถใช้ได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ และระบบปฏิบัติการได้หลากหลายชนิด
แฟ้มข้อมูลที่เขียนด้วยภาษา HTML นั้นจะมีการนำคำสั่ง HTML ที่เรียกว่า แท็ก (Tag) มากำหนดลักษณะและรูปแบบของเอกสารที่แสดงบนจอภาพ แท็ก (Tag) ประกอบด้วย เครื่องหมายน้อยกว่า (<) ตามด้วยชื่อแท็ก ปิดท้ายด้วยเครื่องหมายมากกว่า (>) เช่น <HTML>, <HEAD>, <BODY> ชื่อแท็กนั้นอาจจะเป็นตัวเล็กหรือตัวใหญ่ก็ได้ แท็กในภาษา HTML สามารถแบ่งออกได้เป็นสองชนิดเดียวคือ
  • แท็กที่ประกอบด้วยแท็กเปิดและแท็กปิด เช่น <HTML> เป็นแท็กเปิด ส่วน
    </ HTML> เป็นแท็กปิด
  • แท็กที่ไม่มีแท็กปิด เช่น แท็ก <BR> ไม่ต้องมีแท็ก </BR>

ปัจจัยพื้นฐานในการเขียนโฮมเพจโดยใช้ภาษา HTML

ในการพัฒนาโฮมเพจด้วยภาษา HTML นั้นเราต้องปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็น ดังนี้
  1. โปรแกรมแก้ไขข้อความ (Text Editor) เช่น โปรแกรม Emacs, PICO หรือ vi บนระบบปฏิบัติการ UNIX, โปรแกรม Simple Text บนระบบปฏิบัติการ Macintosh หรือ โปรแกรม Notepad บนระบบปฏิบัติการ Windows และในกรณีที่ต้องการใช้โปรแกรมประยุกต์ประเภท WYSIWYG (What You See Is What You Get) ก็มีโปรแกรมให้เลือกใช้ได้มากมาย เช่น FrontPage, DreamWeaver, Adobe PageMill ฯลฯ

ภาพแสดงโปรแกรมแก้ไขข้อความ (Text editor) Notepad


  1. โปรแกรมตกแต่งรูปภาพ (Graphics Design) เช่น โปรแกรม PaintShop pro, Ulead PhotoImpact, PhotoShop ฯลฯ
  2. โปรแกรมเว็บบราเซอร์ เช่น โปรแกรม Netscape Navigator หรือโปรแกรม Internet Explorer เพื่อใช้ในการตรวจสอบผลลัพธ์ของการเขียน HTML

รูปแบบของการเขียน HTML

ในการเขียน HTML นั้นเราจะต้องจัดวางรูปแบบของแท็กต่าง ๆ ให้ถูกต้องโดยแท็กพื้นฐานที่ต้องมีในการเขียน HTML ได้แก่
tagรายละเอียด
<HTML>…</HTML> เป็นแท็กกำหนดถึงจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของเอกสาร HTML
<HEAD>…</HEAD> เป็นแท็กกำหนดจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของส่วนกำหนดค่าเริ่มต้นของเอกสาร HTML เช่น ชื่อของเอกสาร
<TITLE>…<TITLE> เป็นแท็กกำหนดชื่อของเอกสาร
<BODY>…</BODY> เป็นแท็กกำหนดจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของส่วนแสดงข้อมูลของเอกสาร
ซึ่งเราจะต้องจัดวางตำแหน่งของแท็กต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
ตัวอย่าง 1.1 การจัดวางตำแหน่งของแท็ก
<HTML>
<HEAD>
<TITLE>ชื่อเอกสาร</TITLE>
</HEAD>
<BODY>
&ข้อมูลเอกสาร
</BODY>
</HTML>

ขั้นตอนการเขียนโฮมเพจด้วย HTML

ในการเขียนโฮมเพจด้วย HTML โดยใช้โปรแกรมแก้ไขข้อความ (Text Editor) Notepad มีขั้นตอนดังน
  1. เปิดโปรแกรมแก้ไขข้อความ (Text Editor) Notepad
  2. พิมพ์แท็ก HTML
  3. บันทึกแฟ้มข้อมูล โดยมีนามสกุลเป็น .htm หรือ .html
  4. เปิดโปรแกรมเว็บเบราเซอร์ (Internet Explorer หรือ Netscape Navigator) แล้วทำการเปิดแฟ้มข้อมูลที่บันทึกไว้จากข้อ 3. เพื่อตรวจสอบผลลัพธ์บนจอภาพว่าแสดงผลได้ตามที่ต้องการหรือไม

การกำหนดชื่อเอกสาร

ในการเขียน HTML นั้นจำเป็นจะต้องกำหนดชื่อเอกสารด้วยเสมอ เพราะการกำหนดชื่อเอกสารจะทำให้ผู้เข้าชมสามารถรู้ถึงชื่อเรื่องของเอกสาร ชุดนั้นได้ทันที และสะดวกต่อการสืบค้นข้อมูล การกำหนดชื่อของเอกสารทำได้โดยการพิมพ์ชื่อของเอกสารที่ต้องการไว้ระหว่าง แท็ก <TITLE > กับแท็ก </TITLE>
ตัวอย่าง 1.2 การกำหนดชื่อเอกสาร
<HTML>
<HEAD>
<TITLE>My First Page</TITLE>
</HEAD>
<BODY>
</BODY>
</HTML>
เมื่อเราเปิดแฟ้ม HTML นี้ด้วยโปรแกรมเว็บเบราเซอร์ จะเห็นข้อความว่า My First Page ปรากฏที่ส่วนของ Title Bar ของโปรแกรมเว็บบราเซอร์

การใส่ข้อมูลในเอกสาร

ข้อความ รูปภาพ เสียง หรือ คลิปวิดีโอ (Video Clip) ที่ต้องการให้แสดงบนพื้นที่แสดงผลของโปรแกรมบราวเซอร์ ทำได้โดยการพิมพ์ที่ต้องการไว้ระหว่างแท็ก <BODY> กับ </BODY>
ตัวอย่าง 1.3 การใส่ข้อมูลในเอกสาร
<HTML>
<HEAD>
<TITLE> My First Page </TITLE>
</HEAD>
<BODY>
welcome to my first home page,
</BODY>
</HTML>
เมื่อเราเปิดแฟ้ม HTML นี้ด้วยโปรแกรมเว็บบราเซอร์ ข้อความ My Fist page ปรากฏที่ส่วนของ Title Bar ข้อความ Welcome to my first home page. จะแสดงที่พื้นที่แสดงข้อมูลของโปรแกรมเว็บบราเซอร์

                                                       เรียบเรียงและจัดทำเป็นเว็บเพจ โดย...เสาวนีย์ ลีละวัฒนพันธ์      

การเขียนภาษา PHP เบื้องต้น

การเขียนภาษา PHP เบื้องต้น
การวางตำแหน่งของ PHP Script
การวางตำแหน่งของ Script สามารถแทรกลงในส่วนไหนของ HTML ก็ได้ โดยมีเครื่องหมาย
<? เปิดสคริป และ ?> ปิดสคริป
ตัวอย่าง
<html>
<head>
<title>Test PHP</title>
</head>
<body>

<center>
<font face="MS Sans Serif" size=2>ทดสอบการแสดงผล</font>
</center>

<? echo "<center><font face=\"ms sans serif\" size=3>Test PHP Script</font></center>"; ?>

</body>
</html>

การแสดงข้อความออกทาง Browser
เราสามารถใช้คำสั่ง ในการแสดงผลได้ 2 คำสั่งคือ echo และ print ซึ่งสามารถใช้แทนกันได้ทันที โดยไม่ต้องเปลี่ยน syntax ใดๆ อีก
ตัวอย่าง
<?
echo "<center><font face=\"ms sans serif\" size=3>Test PHP Script</font></center>";
print "<center><font face=\"ms sans serif\" size=3>Test PHP Script</font></center>";
?>
ผลที่ได้ :
Test PHP Script
Test PHP Script

เราจำเป็นต้องใส่ \ ไว้ข้างหน้า " เพื่อป้องกันไม่ให้ PHP ตีความผิดว่า code บรรทัดนั้นสิ้นสุดแล้ว
ถ้าไม่ใส่ \ แล้ว PHP จะตีความเป็น
echo "<center><font face="
มันจะเข้าใจว่าจบ code แล้ว ซึ่งคล้ายกับ Perl

การใส่ Comment ภายใน Script
การใส่ comment ทั้งแบบบรรทัดเดียว และหลายบรรทัด ให้ใช้ /* เปิดหัว และ */ เพื่อปิดท้าย comment
การใส่ // หรือ # ไว้ข้างหน้าประโยคที่เป็น comment ได้เพียงบรรทัดต่อบรรทัดเท่านั้น
ตัวอย่าง
<?
echo "test"; /* แสดงข้อความ text */
/* comment หลายบรรทัด
ก็สามารถทำได้ */
echo "$sum"; // The summation of cost
echo "$mem_id"; // ID of each member
echo "$max_id"; # Maximun of member ID
?>

การกำหนดตัวแปร
การกำหนดตัวแปร (variable) และ operation
ตัวอย่าง
<?
$num1=3;
$num2=4;
$sum=$num1+$num2;
echo "<center><font face=\"ms sans serif\" size=3>$sum</font></center>";
?>
ผลที่ได้ : 7
หากใช้เป็น
$num1='3';
$num2='4';
หรือ
$num1="3";
$num2="4";
                ก็ยังได้ผลลัพท์เช่นเดิม เพราะ PHP มีความสามารถในการเปลี่ยน variable type จากตัวหนังสือ เป็นตัวเลขโดยอัตโนมัติ เนื่องจาก + เป็น operation ของตัวเลข
ตัวอย่าง
<?
$char1='Today';
$char2='is';
$char3='Sunday.';
echo "<center><font face=\"ms sans serif\" size=3>$char1 $char2 $char3</font></center>";
?>
ผลที่ได้ : Today is Sunday.


การแสดงผลต่อเชื่อมระหว่างตัวแปรและตัวหนังสือ
                หากเราต้องการแสดงผลโดยใช้ข้อความที่กำหนด กับค่าที่ได้จากการ execute โปรแกรม ดังตัวอย่างเช่น
การสร้างไฟล์ที่มีชื่อเป็นรหัสสมาชิก แล้วตามด้วยนามสกุล .txt
เราใช้ . ในการเชื่อมระหว่าง variable และข้อมูลที่เป็น text
ตัวอย่าง
<?
$filename='0001' /* สมมุติว่า 0001 คือรหัสที่ได้รับจาก Form ที่สมาชิกกรอก */
echo $filename.".txt";
?>
ผลที่ได้ : 0001.txt

การใช้เงื่อนไข  
การใช้ IF...ELSE Condition
ตัวอย่าง
<?
$sum=10;
if ($sum==0) {
echo "Summation is 0";
}
else {
echo "Summation = ". $sum;
}
?>
ผลที่ได้ : Summation = 10

ในกรณีที่ไม่ใช้ else ก็สามารถทำได้เช่นกันครับ
ตัวอย่าง
<?
$sum=0;
if ($sum==0) {
echo "Summation is 0";
}
?>
ผลที่ได้ : Summation = 0

ส่วนกรณีที่มีหลาย Case ก็ใช้ else if เข้าช่วย
ตัวอย่าง
<?
$a=5;
$b=6;

if ($a>$b) {
print "a is bigger than b";
}
elseif ($b>$a) {
print "a is not bigger than b";
}
else {
print "a and b are the same";
}
?>
ผลที่ได้ : a is not bigger than b
การใช้ Switch
ตัวอย่าง
<?
$i=2;
switch ($i) {
case 0: print "i equals 0"; break;
case 1: print "i equals 1"; break;
case 2: print "i equals 2"; break;
}
?>
ผลที่ได้ : i equals 2

การใช้ลูป  
การใช้ While Loop
ตัวอย่าง
<?
$i=1 // ให้ค่าเริ่มต้น
while ($i<=5) {
print $i;
$i++;
}
?>
ผลที่ได้ : 12345

ใช้ Do while ก็ได้ แต่ผลที่ได้ จะแตกต่างจาก While Loop ในบางกรณี เพราะจะทำงานภายใน loop ก่อนที่จะตรวจสอบ condition
ตัวอย่าง
<?
$i=5 // ให้ค่าเริ่มต้น
do {
print $i;
$i++;
} while ($i<=5);
?>
ผลที่ได้ : 5

สรุปว่า
กรณีที่ใช้ While...Loop จะทำการตรวจสอบเงื่อนไขก่อน แล้วจึงค่อยทำในลูป
กรณีที่ใช้ Do...Loop จะทำคำสั่งในลูปก่อน แล้วจึงค่อยตรวจสอบเงื่อนไข
คำสั่ง For Loop ก็จะทำงานเหมือนกับคำสั่ง While Loop คือ จะทำการตรวจสอบเงื่อนไขก่อน แล้วจึงค่อยทำงานในลูป
ตัวอย่าง
<?
for ($i=1; $i <=5; $i++) {
print $i;
}
?>
ผลที่ได้ : 12345
Text ไฟล์  
คำสั่งในการเปิดไฟล์
คำสั่ง fopen()
รูปแบบ : fopen(filename,mode);
filename : ชื่อไฟล์ที่ต้องการจะเปิด
mode : วัตถุประสงค์ในการเปิดไฟล์ ซึ่งเราสามารถระบุได้ เช่น ต้องการเปิดไฟล์เพื่ออ่าน หรือ เขียน
โดยมีค่า mode ดังนี้
r  หมายถึง เปิดไฟล์เพื่ออ่านอย่างเดียว เช่น ใช้ในการอ่านข้อมูลจากไฟล์
r+ หมายถึง เปิดไฟล์เพื่ออ่านและเขียน
w,w+ หมายถึง เปิดไฟล์เพื่อเขียนข้อมูลลงไป ถ้ามีไฟล์อยู่แล้วข้อมูลเดิมจะถูกลบหมดและถ้ายังไม่มีไฟล์ดังกล่าว ก็จะทำการเปิดไฟล์ใหม่ให้เลย
a หมายถึง เปิดไฟล์เพื่อเพิ่มข้อมูล เช่น ในการเพิ่มข้อมูลใหม่ลงไป
a+ หมายถึง เปิดไฟล์เพื่อเพิ่มข้อมูล เช่น ในการเพิ่มข้อมูลใหม่ลงไป และถ้ายังไม่มีไฟล์ ก็จะทำการสร้างใหม่ให้เลย

ตัวอย่าง
$fp = fopen("data.txt","r");

หมายถึง ทำการเปิดไฟล์ที่ชื่อ data.txt เพื่ออ่านอย่างเดียว
ตัวแปร $fp จะเป็นหมายเลขอ้างอิงไฟล์ที่เราเปิด

คำสั่งในการเขียนข้อมูลลงในไฟล์
คำสั่ง fputs() , fwrite()
รูปแบบ : fputs(fp,text,[length]);
รูปแบบ : fwrite(fp,text,[length]);
fp : หมายเลขอ้างอิงไฟล์
text : เป็นตัวแปรชนิดข้อความ หรือ ข้อข้อความที่จะใช้เขียนลงในไฟล์
lenght : จำนวนตัวอักษรที่จะใช้เขียนลงไฟล์ จะระบุหรือไม่ก็ได้

หมายเหตุ
คำสั่ง fputs และ fwrite ทำหน้าที่เหมือนกัน
และเมื่อเราทำการเขียนข้อมูลลงไฟล์จนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็ต้องปิดไฟล์ทั้งหมดที่เราเปิดด้วยคำสั่ง
fclose(fp);
ตัวอย่าง
<?
$fp = fopen("mydata.txt","w");
fwrite($fp,"สวัสดีครับเจ้านาย");
fclose($fp);
?>
ผลที่ได้ : จะได้ไฟล์ที่ชื่อว่า mydata.txt ซึ่งจะอยู่ในไดเรกทอรีเดียวกับ
เว็บเพจที่ถูกเรียก และในไฟล์ mydata.txt จะมีข้อความว่า สวัสดีครับเจ้านาย อยู่ในนั้น

คำสั่งในการอ่านข้อมูลจากในไฟล์
คำสั่งที่ใช้ file_exists() , fgets() , file() , sizeof()

เรามาดู 2 คำสั่งแรกกันก่อนครับ
คำสั่ง file_exists() , fgets()
รูปแบบ : file_exists(filename);
รูปแบบ : fgets(fp,length);

คำสั่ง file_exists() ใช้ในการตรวจสอบว่าไฟล์ที่เราจะเปิดนั้นมีอยู่จริงหรือไม่
ส่วนคำสั่ง fgets() ใช้ในการอ่านข้อมูลจากไฟล์
ตัวอย่าง
<?
$filename = "mydata.txt";
if (file_exists($filename))
{
echo "มีไฟล์ที่ชื่อว่า $filename";
$fp = fopen($filename,"r");
while($data = fgets(fp,100))
{
echo $data;
}
}
else
{
echo "ไม่มีไฟล์ที่ชื่อว่า $filename";
}
?>

ผลที่ได้ :
อันดับแรก กำหนดให้ตัวแปรชื่อ $filename มีค่าเท่ากับ "mydata.txt"
หลังจากนั้นก็จะทำการตรวจสอบว่ามีไฟล์ที่ชื่อว่า mydata.txt อยู่หรือไม่
ถ้ามีไฟล์ดังกล่าวอยู่ ให้แสดงข้อความว่า มีไฟล์ที่ชื่อว่า mydata.txt
และทำการวนลูปเพื่ออ่านข้อมูลจากไฟล์ขึ้นมาแสดง โดยให้เก็บไว้ที่ตัวแปรที่ชื่อว่า $data
ซึ่งจะทำการเก็บครั้งละ 100 ตัวอักษร
จะเห็นได้ว่า เราใช้ while...loop มาช่วยในการอ่านข้อมูลจาก text ไฟล์
เมื่อ $data เท่ากับบรรทัดสุดท้ายของไฟล์ ซึ่งหมายความว่าอ่านข้อมูลจนหมดแล้ว
ระบบจะส่งค่า EOF มาให้กับ $data ทำให้หลุดออกจาก loop และทุกครั้งที่สามารถ
อ่านข้อมูลได้ ก็จะทำการแสดงข้อมูลที่หน้าจอด้วย

และถ้าตอนแรกตรวจสอบแล้วไม่พบไฟล์ที่ชื่อว่า mydata.txt ก็ให้แสดงคำว่า
ไม่มีไฟล์ที่ชื่อว่า mydata.txt
ทำไมต้องกำหนดให้ length ในคำสั่ง fgets มีค่าเท่ากับ 100
ก็เพราะว่าใน text ไฟล์ส่วนใหญ่ 1 บรรทัดจะมีไม่เกิน 100 ตัวอักษร
และถ้าบรรทัดไหนที่มีไม่ถึง 100 ตัวอักษร ก็จะทำการอ่านเท่าที่มีอยู่ในแต่
ละบรรทัดนั้นๆ ครับ :)

วิธีการอ่านไฟล์อีกแบบโดยใช้คำสั่ง file() , sizeof()
วิธีการนี้จะเป็นการอ่านไฟล์ทีละบรรทัดลงในตัวแปรอาร์เรย์
รูปแบบ : file(filename);
รูปแบบ : sizeof(array);
ตัวอย่าง
<?
$filename = "mydata.txt";
$line = file($filename);
for($i=0 ; $i < sizeof($line) ; $i++)
{
echo $line[$i],"<br>"
}
?>

ผลที่ได้ :
กำหนดให้ $filename มีค่าเท่ากับ "mydata.txt"
ทำการอ่านข้อมูล แล้วนำมาเก็บในตัวแปรอาร์เรย์ที่ชื่อว่า $line
ทำการวนลูป ตั้งแต่อาร์เรย์ลำดับที่ 1 จนไปถึงลำดับสุดท้าย
แล้วทำการแสดงข้อมูลออกมา

เราจะใช้คำสั่ง file(filename) เพื่อทำการอ่านข้อมูลจากไฟล์
ทั้งไฟล์ไปเก็บไว้ในตัวแปรอาร์เรย์ แล้วทำการหาขนาดของตัวแปร
อาร์เรย์จากคำสั่ง sizeof(array) จากนั้นถ้าเราต้องการแสดง
ผลลัพธ์ ก็เพียงแค่นำค่าจากตัวแปรอาร์เรย์มาแสดง ครับ

อ้างอิงจาก http://php.deeserver.com/