บล็อกนี้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ

วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555

รถสาธารณะขับขี่ไม่ปลอดภัย ตรวจจับเป็นหลักฐานแล้วร้องเรียนด้วยแอพ Traffy bSafe

ด้วยปัญหาอุบัติเหตุจากเหตุรถโดยสารสาธารณะขับเร็ว ทำให้ผู้โดยสารเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายจากอุบัติเหตุทางรถสาธารณะ ซึ่งเกิดขึ้นหลายครั้ง ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือเนคเทค ร่วมกับเอไอเอส ได้พัฒนาแอพพลิเคชั่นใหม่ที่มีชื่อว่า Traffy bSafe บนโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ iOS และ Android ให้ประชาชนทั่วไปที่โดยสารทางรถยนต์ หรือรถสาธารณะ
โดยภายในแอพพลิเคชั่น Traffy bSafe นี้ ประกอบด้วย “บริการตรวจสอบความเร็วรถโดยสารสาธารณะ” ผ่านทางมือถือแบบ real-time ในกรณีที่มีการขับรถเร็วเกินกำหนด, ขับขี่ไม่ปลอดภัย และเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เพียงคลิกที่เมนูบนหน้าจอ ระบบจะจัดเก็บข้อมูลไว้ จากนั้นผู้ใช้มีสิทธิ์ที่จะนำข้อมูลไปเป็นหลักฐาน เพื่อร้องเรียนต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค, ศูนย์ 1584 กรมการขนส่งทางบก
นอกจากนี้ ยังมีบริการ “SOS คนสำคัญ” ให้ผู้ใช้สามารถส่ง SMS บอกพิกัดตำแหน่งที่อยู่ของตน ไปยังเบอร์คนสำคัญ ในกรณีที่ต้องการความช่วยเหลือ รวมถึงบริการ Emergency Call เบอร์ด่วนฉุกเฉิน ซึ่งแอพฯ ได้รวบรวมเบอร์โทรฉุกเฉินต่างๆ ไว้ อาทิ รถพยาบาลฉุกเฉิน, หน่วยแพทย์กู้ชีพ, ศูนย์ดับเพลิง, ตำรวจ, ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ฯลฯ ตลอดจนเบอร์ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว อาทิ ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, เช็คตารางและสำรองที่นั่งรถไฟ เป็นต้น โดยผู้ใช้สามารถกดโทรออกไปยังหน่วยงานที่ต้องการได้จากหน้าแอพฯนี้ได้ทันที
ท่านสามารถดาวน์โหลดติดตั้งแอพ Traffy bSafe ได้ เพียง search คำว่า Traffy bSafe ผ่านทาง  App Store และ Google Play Store บนสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตของคุณ
สำหรับวิธีใช้นั้น หลังจากดาวน์โหลดและติดตั้งแอพ Traffy bSafe ลงในสมาร์ทโฟนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้ใช้จะต้องลงทะเบียน (register) ก่อนโดยใส่ First Name, Last Name, Email และ Phone ลงไป เมื่อสมัครแล้ว เราจะเห็นหน้า Home ปรากฏขึ้นมา มี 2 ภาษาให้เลือกใช้ได้ตามใจชอบคือ ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยในหน้านี้จะมี 3 เมนูให้เลือก
1) Your Journey (การเดินทาง) นำเราไปยังแท็บ Navigator ด้านล่างของหน้าจอ (Your Journey) ซึ่งเราสามารถเข้าได้จากแท็บด้านล่างหรือเมนูแรกสุดก็ได้
2) SOS emergency message (SOS ถึงคนสำคัญ) ให้เรากรอกเบอร์โทรด่วนอีกเบอร์นอกจากเบอร์ของเราเองได้ อาจจะเป็นเบอร์ผู้ปกครอง เบอร์ครอบครัว คนสำคัญอีกเบอร์ที่สามารถติดต่อเราได้ โดยมี features ให้เลือกจาก Contact บน iPhone/iPod/iPad ของเรา
3) Emergency Call (หมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉิน) แสดงประเภทให้เราเลือกเพื่อติดต่อไปยังกรณีฉุกเฉิน
ในหน้า Emergency Call จะมีตัวเลือกอยู่ 12 ตัวเลือก ที่เราสามารถโทรด่วนไปยังองค์กรนั้นๆในกรณีที่เรามีความจำเป็นเร่งด่วน และเพื่อความรวดเร็วในการแจ้ง ก็จะมีเบอร์ของแต่ละสถานที่ให้เราสามารถเลือก Call ได้ทันทีโดยตรง
ในหน้า Your Journey จะเป็นหน้าที่ให้ผู้ใช้วัดความเร็วขณะนั่งรถนั่นเอง เริ่มแรก application จะค้นหาสัญญาณ GPS ให้เรา ไม่มีตัวเลขขึ้นมาเพราะว่าเรายังคงอยู่กับที่ ไม่ได้นั่งอยู่บนรถ หรือรถยังไม่เคลื่อนที่ เมื่อรถที่เรานั่งอยู่เริ่มเคลื่อนที่แล้ว ตัวเลขจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพื่อบอกความเร็วเป็นหน่วย กิโลเมตร/ชั่วโมง
แถบสีบนวงกลมรอบตัวเลขจะมีอยู่ด้วยกัน 3 สี
  1. สีเขียว ความเร็วยังคงอยู่ในระดับที่ปลอดภัย
  2. สีเหลือง เตือนว่าความเร็วเริ่มใกล้เข้าสู่ระดับที่ไม่ปลอดภัยแล้ว
  3. สีแดง ความเร็วอยู่ในระดับไม่ปลอดภัย
เราสามารถเลือกดูกราฟ (Graph) ระดับความเร็วในตอนนั้นได้ โดยตามกราฟ ขีดเส้นสีแดงคือระดับความเร็วที่จะเข้าสู่ความเร็วไม่ปลอดภัย (Speed Limit)
กรณีที่ความเร็วอยู่ในระดับไม่ปลอดภัย (แถบสีแดง) เพียงชั่วครู่ และลดความเร็วลงไปถึงระดับที่ปลอดภัย ก็จะไม่มี pop-up มาให้เราตัดสินใจแจ้งความไม่ปลอดภัย (Report) จนกว่าความเร็วจะกลับมาอยู่ในระดับไม่ปลอดภัยอีกครั้ง หรือหากความเร็วอยู่ในระดับที่ไม่ปลอดภัยนานเกินไป จะมี pop-up ขึ้นมาให้เราเลือกว่าจะ Report หรือไม่
เมื่อเรากดตกลง เราสามารถมายังหน้าป้อนข้อมูล: ต้นทาง-ปลายทาง, ของการเดินทาง, เลขทะเบียนรถ และสายรถได้ อีกทั้งยังอัพโหลดรูปภาพเพื่อเป็นหลักฐาน, ใส่รายละเอียดรูปภาพ และเลือกประเภทของการรายงาน (Report) ได้
แอพนี้จึงเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่เดินทางผ่านทางรถสาธารณะ เช่นรถตู้ รถแท็กซี่ รถมอเตอร์ไซด์รับจ้าง หรือรถประจำทางเป็นต้น หากสนใจรายละเอียด หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแอพพลิเคชั่น Traffy bSafe ติดต่อได้ที่หน่วยงานเนคเทค โทร. 02-5646900 ต่อ 2587 (เฉพาะวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 9.00 – 17.00 น.) 

ทำ Facetime บน iPad2, iPhone4 ได้แม้ไม่มี Wi-Fi

Facetime เป็นการติดต่อสื่อสารกันในรูปแบบวีดีโอคอล (คุยแบบเห็นหน้า)  โดยไม่ต้องพึ่งเครือข่าย 3G แต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่างในการใช้ Facetime คือ ต้องใช้ผ่านเครือข่าย WiFi เท่านั้นหากไม่มีสัญญาณ Wi-Fi ก็จะไม่สามารถใช้Facetimeได้  แม้ iPad2 จะอยู่ในสัญญาณ 3G ก็ตาม เพราะทาง Apple บังคับให้ใช้ผ่านทาง Wi-Fi เท่านั้น แต่… ถ้ามี iPhone4 กับ มีโทรศัพท์android  แท็ปเล็ต Android นำมาทำ wifi hotspot ก็สามารถใช้ facetime ได้ ด้วยวิธีต่างๆดังนี้

วิธีที่ 1 ใช้ตัว MiFi กระจายสัญญาณ Wi-Fi ให้ iPad2 สามารถ Facetime ได้

1. ใช้ Mifi ของคุณ ใส่ซิม 3G เข้าไปใน MiFi พาไปที่พื้นที่บริการที่มี 3G(ทดลองกับซิมที่เป็น edge/gprs แล้ว ระบบอนุญาติให้ทำ facetime ได้ แต่ภาพแทบไม่ขยับ จึงไม่แนะนำให้ใช้เพราะความเร็วไม่เพียงพอ)
2. เปิดการทำงานของ Mifi กระจายสัญญาณWifi ในความเร็วแบบ 3G
3. เปิด iPad2 เข้าโหมดเปิด Wi-Fi เลือกรับสัญญาณ จากตัว Mifi   แค่นี้ก็ Facetime ได้แล้ว

วิธีที่ 2 ใช้ Personal Hotspot ผ่าน iPhone4 ของคุณ

เนื่องจาก iOS 4.3 สำหรับ iPhone4 นั้นสามารถกระจายสัญญาณ Wi-Fi ได้ด้วย ก็สามารถช่วยให้ iPad2 เล่น Facetime ได้ โดยมีขั้นตอนดังนี้
1. โทรศัพท์มือถือ iPhone4 ต้องใส่ซิม 3G(ทดลองกับซิมที่เป็น edge/gprs แล้ว ระบบอนุญาติให้ทำ facetime ได้ แต่ภาพแทบไม่ขยับ จึงไม่แนะนำให้ใช้เพราะความเร็วไม่เพียงพอ)
2.  อัพเกรด Firmware ของ iPhone4  ให้เป็น iOS 4.3
3. เดินเข้าเขตพื้นที่บริการ 3G เปิดการเชื่อมต่อข้อมูล 3G  บน iPhone4
4. เข้าเมนู Setting เลือก Personal Hotspot  เปิดการทำงาน Personal Hotspot บน iPhone4 เพื่อกระจายสัญญาณ Wifi ในความเร็วบน 3G ของตัว iPhone4
5. เปิด iPad2 เข้าโหมดเปิด Wi-Fi เลือกรับสัญญาณจาก Personal HotSpot ของ iPhone4
iPad2 ก็เริ่ม Facetime ได้โดยมี iPhone4 กระจายสัญญาณ Wi-fi เป็นเพื่อนคู่ใจกับ iPad2 ได้เป็นอย่างดี

วิธีที่ 3 ใช้ Wi-Fi Hotspot จาก โทรศัพม์มือถือและแท็ปเล็ต Android

ทั้งโทรศัพท์มือถือ และแท็ปเล็ต ที่มีระบบปฏิบัติการ Android 2.2 , 2.3 , 2.4 , 3.0 ก็สามารถกระจายสัญญาณ Wi-Fi ช่วยให้ iPad2 เล่น Facetime ได้ด้วย โดยมีขั้นตอนดังนี้
1. โทรศัพท์มือถือ หรือ แท็ปเล็ต จะต้องมีระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชั่น 2.2 , 2.3 , 2.4 และ 3.0 และรองรับคุณสมบัติ 3G
2. ใส่ซิม 3G ลงไปในโทรศัพท์มือถือ หรือ แท็ปเล็ต(ทดลองกับซิมที่เป็น edge/gprs แล้ว ระบบอนุญาติให้ทำ facetime ได้ แต่ภาพแทบไม่ขยับ จึงไม่แนะนำให้ใช้เพราะความเร็วไม่เพียงพอ)
3. เปิดเครื่องแล้ว เปิดการเชื่อมต่อข้อมูลแบบ 3G
4. กดเข้าเมนูเลือก setting >> แล้วเลือก Wireless And Network   และ เปิด  Mobile AP หรือ Portable  Wi-Fi Hotspot เพื่อเปิดการทำงาน Wi-Fi Hotspot บนโทรศัพท์มือถือ Android กระจายสัญญาณ WiFi ไปยังเครื่องรับ wi-fi ต่างๆ
5.เปิด iPad2 เข้าโหมดเปิด Wi-Fi เลือกรับสัญญาณจาก Wi-Fi HotSpot ของโทรศัพท์มือถือและแท็ปเล็ต ที่เป็น Android
iPad2 ก็สามารถเล่น Facetime ได้ผ่านอุปกรณ์มือถือและ แท็ปเล็ต ที่เป็น Android ได้ดี (เข้ากันได้จริงๆ)
ทั้งตัว Mi-Fi และ รวมทั้ง smartphone ที่มีคุณสมบัติเป็น Wi-Fi Hotspot นี้  นอกจากจะสามารถใช้ร่วมกับโทรศัพท์มือถือ iPhone4  iPod Touch และ iPad เพื่อทำการ Facetime แล้ว ยังสามารถแชร์สัญญาณ wifi นี้  ให้กับอุปกรณ์อื่นๆที่รองรับด้วย Wi-Fi เช่น กล้อง , Notebook , โทรศัพท์มือถือ เหมือนคุณมีสัญญาณ Internet เคลื่อนที่ติดตัวตลอดเวลา และแบ่งปันสัญญาณ wi-fiของเราให้เพื่อนร่วมทีม สามารถใช้เน็ตได้

วิธีแสนง่ายในการ Hack Password ที่เรามักมองข้าม


ขอขอบคุณเนื้อหาจาก บทความเรื่อง “กาฝากกับศาสตร์มืด แฮกเกอร์เขาเจาะรหัสผ่านของเรากันได้อย่างไร (ตอนที่ 3)”  โดย คุณคงเดช กี่สุขพันธ์ (@kafaak) จากบล๊อก นานาสาระกับนายกาฝาก ค่ะ

เอารหัสผ่านของเราไปได้ เพราะรหัสผ่านของเราก็อยู่รอบตัวเรานั่นแหละ

รู้หรือไม่ว่ารหัสผ่านที่เดาง่ายอีกอย่างก็คือข้อมูลรอบตัวเรานั่นแหละครับ รหัสผ่านเป็นอะไรที่เรารู้สึกว่าจำยาก เลยมักจะลงเอยด้วยการใช้อะไรที่เราคุ้นเคยเป็นหลัก อาจจะเป็นชื่อคนรู้จัก วันเดือนปีเกิด เบอร์โทรศัพท์ ฯลฯ โดยเข้าใจว่าแบบนี้ไม่น่าจะโดนเดาได้ง่าย ไม่น่าจะไปอยู่ใน Hacker Dictionary
แต่อย่าลืมว่าหลังๆ เราเองก็เริ่มมีพฤติกรรมเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวบนโซเชียลเน็ตเวิร์คกิ้งมากขึ้น ข้อมูลอย่างเบอร์โทรศัพท์ วันเดือนปีเกิด หรือชื่อคนสนิท (เช่น พี่น้อง พ่อแม่ หรือแฟน) ก็สามารถค้นหาได้ง่ายๆ บนอินเทอร์เน็ตแล้ว แถมนับวันพวกเว็บไซต์โซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ ก็พยายามปรับ User Interface ให้ดูง่ายขึ้นสำหรับผู้ใช้งาน และแน่นอนว่ามันย่อมง่ายขึ้นสำหรับแฮกเกอร์ที่จะเข้ามาเอาข้อมูลด้วย ซึ่งตรงนี้พวกนักวิจัยต่างๆ ก็แสดงความกังวลออกมาแล้ว เช่น ตอนที่พูดถึงเรื่องของอินเทอร์เฟซแบบ Timeline ของ Facebook ซึ่งตอนนี้เริ่มทยอยเปลี่ยนแปลงหน้าเว็บของผู้ใช้งานไปเรื่อยๆ แล้ว และคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดในวันที่ 23 ธันวาคมนี้
ผู้เชี่ยวชาญจาก Sophos ถึงกับกล่าวถึง Timeline นี้เอาไว้แบบนี้ครับ (ที่มา: Computerworld)
“Timeline makes it a heck of a lot easier [for attackers] to collect information on people,” said Chet Wisniewski, a Sophos security researcher. “It’s not that the data isn’t already there on Facebook, but it’s currently not in an easy-to-use format.”
หน้าตาของ Timeline นั้นจะทำให้ผู้ไม่หวังดีสามารถเก็บข้อมูลเกี่ยวกับผู้คนไปได้ง่ายขึ้น … มันไม่ใช่ว่าข้อมูลพวกนี้ไม่ได้มีอยู่บน Facebook มาก่อนนะ แต่ว่ามันยังไม่ได้อยู่ในรูปแบบที่ใช้งานได้
ทางป้องกันในกรณีนี้มีทางเดียวที่ชัดเจนครับ คือ อย่าไปตั้งรหัสผ่านโดยใช้ข้อมูลส่วนตัว … เว้นเสียแต่คุณจะมั่นใจว่า ข้อมูลส่วนตัวนี้มันส่วนตั๊วส่วนตัวสุดๆ จริงๆ และไม่มีใครรู้แน่นอน

ไม่ต้องเดารหัสผ่านก็ได้ เดาคำถามในกรณีลืมรหัสผ่านดีกว่า

บางคนตั้งรหัสผ่านเดายากโคตร จำก็ยากด้วย เลยทำให้เกิดความกลัวที่จะลืม … เรื่องมันก็ไปเดือดร้อนผู้ดูแลระบบตลอด ต้องมารีเซ็ตรหัสผ่านให้เป็นประจำ ดังนั้นเว็บไซต์ที่มีสมาชิกเยอะๆ เลยพัฒนาระบบกู้คือรหัสผ่านเอาไว้ขึ้นมา ใครลืมรหัสผ่าน ไม่สามารถล็อกอินเข้าระบบได้ ก็คลิกเลย จากนั้นก็แค่ตอบคำถามซักข้อ (ซึ่งเราสามารถเลือกตั้งคำถามได้ตอนที่สมัครใช้บริการ)
ปัญหาก็คือ คำถามพวกนี้มักจะเลือกได้จำกัด (แม้ว่าจะมีบางบริการที่ให้เรากำหนดคำถามเองได้) อีกทั้งเวลาเรานึกถึงคำถามทีไร เราก็นึกถึงเรื่องใกล้ตัวเข้าไว้ เพื่อให้เราสามารถจำคำตอบได้ง่าย (กลับไปอ่านหัวข้อก่อนหน้า ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น) ผลก็คือ มันจึงมักเป็นเรื่องใกล้ตัว และสามารถถูกเดาได้ง่ายๆ โดยการค้นหาด้วย Google หรือไม่ก็ไปไล่ดูข้อมูลจากโซเชียลเน็ตเวิร์คกิ้งไซต์ต่างๆ
กรณีศึกษาที่ชัดเจนมาก (และโด่งดังด้วย) คือกรณีที่อีเมล์ Yahoo! ของ Sara Palin ถูกแฮกไปเมื่อปี ค.ศ. 2008 โดยที่คนแฮกไม่ได้ใช้ความรู้ด้านการแฮกใดๆ เลย เขาใช้แค่วันเดือนปีเกิด รหัสไปรษณีย์ และข้อมูลที่ว่า Sara Palin ไปพบกับสามีของเธอที่ไหนเป็นครั้งแรก แค่นี้เขาก็สามารถรีเซ็ตรหัสผ่านได้แล้ว
เบิ้องต้นนั้น ทางป้องกันเทคนิคนี้ก็เหมือนกับเทคนิคก่อนหน้าครับ อย่าไปใช้ข้อมูลส่วนตัว … แต่นอกจากนี้@darkmasterxxx เพื่อนของผมบอกว่า วิธีง่ายๆ ก็คือ ไม่ต้องสนใจว่าคำถามจะเป็นอะไร แต่จำคำตอบไว้ในใจเสมอก็พอ เช่น ชื่อแฟน … ส่วนคำถามจะเลือกอะไรก็ได้ “Q: อาชีพของปู่ A: ชื่อแฟน”, “Q: คุณครูที่ชื่นชอบ A: ชื่อแฟน” หรือแม้แต่ “Q: ชื่อของสัตว์เลี้ยงตัวแรก A: ชื่อแฟน” ฮาฮา

Video Calling ของใหม่บนเฟสบุ๊คมาแล้ว วิธีคุยแบบเห็นหน้ากันทำอย่างไร


จากตอนที่แล้วที่ทางรายการได้นำเสนอ Google เปิดตัว Google Plus ที่มีฟังชั่นเด็ดชน facebook ด้วย Circle และ Hangouts  จนฝั่ง facebook โดย Mark Zuckerberg ก็จัดแถลงข่าวเปิดบริการใหม่เมื่อวันพุธที่ 6 กรกฎาคมที่ผ่านมา  เพื่อมาสู้กับ Google เช่นกัน โดย facebook จับมือ skype เปิดบริการ group chat  และ บริการ facebook video calling ที่สามารถคุยเห็นหน้ากันผ่านทางเว็บไซต์ facebook บนเว็บบราวเซอร์บนโดยตรง  ทำให้สมาชิก facebook กว่า 750 ล้านบัญชี ได้สามารถใช้วีดีโอคอลได้แล้วทั่วโลก และเชื่อว่าหลายๆท่านก็อยากจะลองใช้บริการนี้ด้วย  แต่มีสมาชิกบางคนยังใช้ไม่ได้บ้าง ก็เลยนำเสนอขั้นตอนการทำ ให้คุณสามารถ facebook  สามารถสื่อสารคุยแบบเห็นหน้ากับเพื่อนๆของ facebook ได้ด้วย video calling
ก่อนอื่นคุณต้องเตรียมอุปกรณ์ดังนี้
คอมพิวเตอร์ PC  + ลำโพง + เว็บแคม + Microphone + hi-speed Internet (Lan , wifi , 3G)   หรือ
Notebook  + hi-speed Internet (Lan, Wi-fi, 3g)
โดยทั้ง PC และ Notebook ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows หรือ Mac OSX  เพราะเป็นระบบปฏิบัติการที่สามารถติดตั้งปลั๊กอิน facebook videocalling ได้

วิธีการใช้งานก็ง่าย เพียงแค่เข้า facebook.com แล้ว login ด้วยชื่อปัญชี facebook คุณตามปกติ เพื่อเข้าสู่หน้าจอหลัก แล้วคลิกเข้าหน้าต่างแชตด้านล่างขวาของจอ  แล้ว เลือกเพื่อนที่ต้องการแชต  และหากต้องการคุยแบบเห็นหน้า ก็เลือกคลิกที่กล้องวีดีโอ ก็จะเริ่มเข้าสู่โปรแกรมสนทนาแบบเห็นหน้าได้ทันที

ระบบก็จะตรวจดูว่าคุณได้ติดตั้งปลั๊กอินเสริมเพื่อให้สามารถวีดีโอคอลลิ่งได้หรือยัง  หากยังไม่ได้ติดปลั๊กอิน ก็จะให้คุณทำการ setup เพื่อ download ติดตั้งปลั๊กอินก่อน จึงจะสามารถ วีดีโอคอลกันได้

และเมื่อติดตั้งเสร็จ หรือหากติดตั้งปลั๊กอินไว้อยู่แล้ว ก็รอสักครู่จนกว่า ผู้รับสายจะตอบกลับ ถ้าผู้สนทนาปลายทางตอบกลับรับสาย ก็จะเข้าสู่หน้าสนทนาแบบ Video Calling
แค่นี้ก็สามารถสนทนาได้แล้ว  และสังเกตนิดนึงถ้าเลื่อนเม้าส์ในหน้าวีดีโอคอลนี้ จะมีเมนูปรับแต่งด้านล่างก็คือ
- ด้านล่างซ้าย เป็นตั้งค่าเลือกกล้องเว็บแคมที่ต้องการ หากมีหลายตัว (อาจไม่ต้องเปลี่ยนเพราะเว็บแคมมีตัวเดียวอยู่แล้ว)
- ด้านขวา เป็นการตั้งค่าไมโครโฟน  ซึ่งสามารถ mute เสียงได้ แต่ถ้าหากต้องการปรับไมโครโฟนให้ดังขึ้น ให้ไปปรับการตั้งค่าไมโครโฟนที่ ตรงปรับเสียงของคุณ ( Volume Control) ที่ไอคอนรูปลำโพงบริเวณขวาล่างของจอ Windows ใกล้ๆนาฬิกา
- สามารถปรับหน้าแสดง Video calling ในรูปแบบจอเล็กเพื่อให้เห็นเว็บ facebook และ เต็มจอได้
- การยกเลิกการคุยแบบเห็นหน้าเพียงแค่กดเครื่องหมายกากบาทของหน้าจอ Video Calling แค่นี้ก็ออกจาก Video Calling เรียบร้อย

ข้อดี 
- สามารถติดต่อเพื่อนๆได้ผ่านทาง facebook Video Calling ได้ทันที่ที่เพื่อนร่วมออนไลน์ด้วย
- การติดตั้งปลั๊กอินที่รวดเร็ว และใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องปิดเว็บบราวเซอร์และเปิดเว็บบราวเซอร์เข้า facebook ใหม่
- หากประยุกต์ใช้ในการคุยปรึกษาเพื่อน ปรึกษาอาจารย์ หรือปรึกษาแพทย์ผ่าน facebook ก็สามารถใช้ช่องทางนี้เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่มีประโยชน์มาก
ข้อเสีย
-  ไม่สามารถคุย Group Video Calling กับเพื่อนๆหลายๆคนได้ คุยได้แค่ 1-1 เท่านั้น  ซึ่งต่างจาก Google Plus ที่ให้บริการวีดีโอกรุ๊ป ที่คุยได้สูงสุดถึง 9 คน   รวม 10 คน
-  ไม่รองรับระบบปฏิบัติการLinux   เล่นได้เฉพาะ Windows และ Mac OS เท่านั้น
รายละเอียดดูได้ที่ www.facebook.com/videocalling

รวมแอพอันตรายใน Facebook ที่คุณต้องรีบลบด่วน!!


ช่วงนี้ใครที่ใช้ facebook แทบทุกวัน ก็จะพบว่ามีเพื่อนๆบางคนส่งแอพแปลกประหลาดมาให้เราร่วมกันคลิกกันเยอะแยะมากมายเต็ม wall ไปหมด บางครั้งก็เป็นกิจกรรมเกม แต่บางครั้งแอพนี้แทบจะไร้สาระและน่ารำคาญมากๆ ซึ่งถ้าหากเรา เพิ่ม app บน facebook ที่เราไม่รู้จักละก็ นอกเหนือจะสร้างความรำคาญให้กับเพื่อนของคุณๆบน facebook แล้ว คุณก็อาจตกเป็นเหยื่อในการกระจายพวก Scamware บน facebook หรือตกเป็นเหยื่อโดนขโมยข้อมูลส่วนตัวได้
ตัวอย่างหนึ่งในแอพอันตรายอันตรายหลายๆแอพใน facebook
วันนี้จะขอนำเสนอรายชื่อ Application Facebook ที่คาดว่าจะเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ facebook โดยทางเว็บไซต์ facerocks ซึ่งเป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับรายงานข่าวด้านความปลอดภัยของ facebook นี้ ได้รวบรวมรายชื่อ Facebook Application ที่ถูกขึ้นเป็นแอพบัญชีดำ เพราะแอพเหล่านี้จะสร้างความก่อกวนแก่คุณ และเพื่อนๆของคุณบน facebook , อาจขโมยข้อมูลส่วนตัว และปล่อยไวรัสมัลแวร์กระจายต่างๆทาง facebook ได้ด้วย ซึ่งหากคุณมีแอพที่ตรงกับรายชื่อนี้ ให้ทำการลบแอพนี้ออกโดยเร็ว
รายชื่อแอพพลิเคชั่นอันตรายบน facebook ที่ทางเว็บไซต์ Facerocks ได้ประกาศเตือนขึ้นไว้เป็นบัญชีดำ ได้แก่
——
หากพบแอพพลิเคชั่นเหล่านี้ให้ทำการลบแอพนี้ออกทันทีโดยด่วนโดยเข้าไปตั้งค่าทางลิงค์นี้ เพื่อความปลอดภัยต่อตัวบัญชี facebook ของคุณ รวมทั้ง Facebook เพื่อนๆของคุณด้วย
ข้อมูลจาก Facerocks

วิธีเปลี่ยนหน้าตาโปรไฟล์ Facebook ให้เป็น Timeline พร้อมวิธีกลับเป็นหน้าเก่า??


เชื่อว่าหลายท่านคงได้ใช้ facebook แล้วเห็นเพื่อนๆใช้หน้าโปรไฟล์หน้าตาใหม่ อย่าง Timeline ซึ่งเป็นหน้าตาแบบใหม่หมดจดของ facebook ซึ่งหน้าตาใหม่จะบอกถึงตัวตนของเราในช่วงเวลานั้นๆ นี่เอง วันนี้เราจะมาปรับเปลี่ยนให้เป็นหน้าตา Timeline พร้อมกัน แต่สำหรับผู้ที่เห็นแล้วไม่ชอบก็ไม่ต้องทำตามขั้นตอน แต่ลองอ่านดูเพื่อศึกษากันเลยว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง

 ขั้นตอนการเปลี่ยนหน้าโปรไฟล์ facebook เดิม ให้กลายเป็นแบบใหม่ Timeline

1. ให้ทำการ Login เข้าสู่ระบบบน facebook.com ให้เรียบร้อย
2. เข้าไปที่หน้าเว็บไซต์ http://www.facebook.com/about/timeline
3. คลิกที่ปุ่ม Get Timeline ซึ่งเป็นปุ่มสีเขียวๆตามลูกศรนี้  แค่นี้โปรไฟล์ของคุณก็จะกลายเป็นหน้าโปรไฟล์แบบ Timeline แล้ว

วิธีการจัดการ Timeline เบื้องต้น

เลื่อนไปข้างล่างของหน้า timeline หน่อยก็จะเจอหน้าโพสสถานะของเราในรูปแบบกล่อง timeline ดังรูปด้านบน หากต้องการลบหรือซ่อนสถานะนี้ก็สามารถทำได้ โดยเลื่อนเมาส์ไปชี้ที่ดินสอ แล้วคลิกเลือกการแก้ไขที่ต้องการ สามารถแก้ไขทั้งเปลี่ยนแปลงวันเวลา เพิ่มข้อมูลเรื่องสถานที่  , ลบ , ซ่อน หรือหากเจอคนอื่นโพสและเป็นสแปม ก็เลือกรายงานว่าเป็นสแปมได้ทันที ซึ่งรายการทั้งหมดนี้จะอยู่ในไอคอนรูปดินสอนี้ดังรูปบน
แต่ถ้าหากคุณเห็นว่ารูปนี้ดูดีและอยากให้สถานะนี้ดูเด่นขึ้น ให้คลิกที่รูปดาว แค่นี้ข้อความใน timeline จะขยายจนเด็มความกว้างของ timeline ให้เด่นมากขึ้น

สำหรับคนที่ได้ลองแล้วและไม่ชอบหน้าตาTimeline อยากได้หน้าตาเดิมทำอย่างไรดี? 

ทำไม่ได้และไม่สามารถกลับมาเป็นหน้าโปรไฟล์เดิมอย่างเก่าได้  เนื่องจาก Facebook บังคับให้ผู้ใช้งานทุกคน เปลี่ยนหน้าโปรไฟล์เป็นแบบ Timeline ทั้งหมด แต่ก็พอมีทางแก้บ้างเมื่อเว็บไซต์ zdnet ได้เสนอวิธีที่จะให้ไม่แสดงเป็นหน้า timeline ก็คือ ให้เข้าชมโปรไฟล์ผ่าน Internet Explorer  7 แทน ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นเก่า เพราะ timeline ไม่สนับสนุนเว็บบราวเซอร์ IE ที่ต่ำกว่าเวอร์ชั่น 8 นั่นเอง แต่อย่าลืมว่า Internet Explorer 7 ที่ว่านี้ เป็นเวอร์ชั่นที่มาพร้อมกับ Windows Vista หรืออัพเกรดจาก IE6 บน Windows XP ในขณะที่ Windows7 จะมาพร้อมกับ IE8 เลย ดังนั้น ใครใช้ Windows7 จะดาวน์เกรด IE8 กลายเป็น IE7 อาจลำบากหน่อย
และทั้งหมดนี้คือขั้นตอนเปลี่ยนหน้าตาโปรไฟล์ Facebook ให้เป็นหน้าตาใหม่ Timeline ลองศึกษาดูและหากอัพเกรดเป็น Timeline แล้ว ลองใช้บ่อยๆก็จะชินเองละจ้า :)
 ข้อมูลจาก Mashable ZDNET 

รวมเว็บบริการพื้นที่เก็บข้อมูลออนไลน์ฟรีๆ ที่มีประโยชน์


ตอนนี้เทรนด์กระแสฮิตของคนทำงานก็เริ่มที่จะฝากข้อมูลต่างๆไว้บน Cloud แล้ว เผื่อกรณีลืม พวก USB Flashdrive หรือต้องการแชร์ไฟล์งานนี้ส่งให้เพื่อนช่วยแก้ไขก็สามารถทำงานร่วมกันได้ด้วยบริการ Cloud Storage นี้ วันนี้เลยรวบรวมเว็บไซต์ต่างๆที่เกี่ยวกับ Cloud Storage ต่างๆ มาให้คุณได้มาลองสมัครใช้บริการกัน 
เริ่มที่ Dropbox คงไม่อธิบายมากเพราะเคยนำเสนอมาแล้ว ถ้าสมัครผ่านทางเว็บไซต์ dropbox จะได้เนื้อที่ฟรี 2GB หากคุณทำภารกิจตาม GET START คุณก็สามารถได้พื้นที่เพิ่มอีก 250MB ไปเรื่อยๆได้ และถ้าชวนเพื่อนสมัคร dropbox ผ่านลิงค์ของคุณคุณก็ได้พื้นที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สูงสุดถึง 16 GB ทีเดียว   จุดเด่นก็คือรองรับการ SYNC ไฟล์ ผ่านหลายแพลตฟอร์มทั้ง iOS , Android , Windows , Mac และ Linux แต่ถ้าหากคุณถอยพวก HTC One Series  ได้พื้นที่เพิ่มทันที 25GB เป็นเวลา 2 ปี  และ Samsung Galaxy SIII ที่ใกล้จำหน่ายบ้านเรา  ก็มีแถม Dropbox ให้ 50 GB จุใจกันไป เป็นระยะเวลา 2 ปี
box ให้พื้นที่ฟรีออนไลน์ถึง 5GB แต่ถ้าสมัครผ่านอุปกรณ์ต่างๆดังนี้เช่น โทรศัพท์มือถือ LG ทั้งสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต ที่ลง box ได้ , HP Touch Pad , Blackberry Playbook , SONY XPERIA Phone , SONY Tablet  จะได้พื้นที่ 50GB ไปเลยจนถึงสิ้นปี โดยเงื่อนไขคือต้องโหลดแอพและ สมัครบริการ box แล้วทำการ sign in เข้ากับแอพบนมือถือหรือแท็บเล็ตของคุณ ก็จะได้เนื้อที่ 50GB ไปแล้วฟรีๆจนถึงสิ้นปี 2012 หลังจากนั้นก็จะลดเหลือแค่ 5GB  ข้อเสียของ box นั้นก็คือยังไม่มีแอพสำหรับบนคอมพิวเตอร์ในการ sync เวลาอัพโหลดดาวน์โหลดนั้นต้องทำกับผ่านทางหน้าเว็บไซต์ box.com บน  web browser อย่างเดียว
iCloud สาวก Apple ก็รู้จักกันดีกับบริการนี้ เป็นบริการ SYNC และฝากไฟล์ บนอุปกรณ์ ทั้ง MAC และ iOS โดยเฉพาะ  มีพื้นที่ให้ฟรี 5GB หากอยากได้เพิ่มก็ซื้อพื่นที่เอา ส่วนใหญ่จะฝากไฟล์พวกไฟล์งานสำหรับ iWork การ SYNC แชร์ภาพเข้ากับอุปกรณ์ iOS เช่น iPhone , iPad , iPod Touch และคอมแบบ MAC OSX  ด้วย  บริการนี้จะมาพร้อมอยู่แล้วเมื่อคุณสมัคร Apple ID ผ่านทางหน้าเว็บหรือสมัครผ่านอุปกรณ์ของค่าย Apple ต่างๆ
SKYDRIVE พื้นที่ฝากไฟล์ฟรี 7GB จาก Microsoft  แต่ความจริงแล้วมีให้ถึง 25GB เลยทีเดียว เพียงรีบยืนยันคงสิทธิ์พื้นที่ 25GB ไว้เท่านั้น  ใครที่มี Hotmail , msn.com , windowslive.com  , live.com ก็สามารถใช้บริการ skydrive ได้ทันที ทั้งผ่านทางเว็บ skydrive.live.com  ผ่านทางโปรแกรมบน PC โดยเฉพาะ Windows สามารถจัดการไฟล์ได้ทันทีผ่าน Windows Explorer ได้เลย รวมทั้งสามารถ sync กับ แอพบน WindowsPhone , iPhone , iPad ได้ด้วย รองรับแชร์ทั้งรูปภาพได้ สามารถแก้ไขเอกสารจากไฟล์พวก Microsoft Office ทางออนไลน์ได้ด้วย รวมทั้งจะรองรับทำงานร่วมกับ Windows8 ในอนาคตอันใกล้
Google Drive เปิดตัวสดๆร้อนๆเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีพื้นที่ 5GB  สำหรับขา Google docs ก็สามารถแก้ไขเอกสารผ่านทางออนไลน์ได้ด้วย รองรับการอัพโหลดและแชร์ไฟล์พวกรูปภาพ คลิปวีดีโอ และการ sync ไฟล์ด้วย ผ่านแอพทั้งบน PC ระบบปฏิบัติการ windows   , mac OSX และ มือถือ Android ส่วน iOS ก็จะมาด้วยเร็วๆนี้ ส่วนผ่านทางเว็บบราวเซอร์ก็สามารถใช้บริการได้ผ่านทาง drive.google.com
Amazon ก็มีด้วย กับ Amazon Cloud Drive รองรับทั้ง Sync ผ่านแอพบน Windows และ MAC หรือจะอัพโหลดไฟล์ผ่านทางเว็บบราวเซอร์ก็ได้ มีฟรีพื้นที่คนละ 5GB  สมัครและลองใช้ได้ที่ http://www.amazon.com/clouddrive
Ubuntu One เป็น Cloud Sync คล้ายๆกับพวก Dropbox และ Google Drive มาก  รองรับทั้งอัพโหลดไฟล์บนเว็บบราวเซอร์ , แอพพลิเคชั่นบนมือถือ iPhone , iPad ,  Android และแอพบน Windows และ Ubuntu ซึ่งถ้าใครได้ลงระบบปฏิบัติการฟรี อย่าง Linux Ubuntu ก็จะมีแอพโปรแกรมนี้ติดมากับเครื่องด้วย สมัครสมาชิกฟรีและจะได้เนื้อที่ฟรี 5GB  หากต้องการเนื้อที่ เพิ่มก็ซื้อพื้นที่ได้  นอกจากนี้ยังใช้ account ที่สมัครนี้มาซื้อแอพและซื้อเพลงออนไลน์บน Ubuntu ได้ด้วย
สรุปแล้วมีทางเลือกมากมายจริงๆสำหรับการนำไฟล์ข้อมูลนี้มาฝากออนไลน์ซึ่งมีคุณสมบัติและแตกต่างกันออกไป ซึ่งอำนวยความสะดวกมากที่เราสามารถเปิดไฟล์ผ่านทาง cloud ได้ทุกที่ทุกเวลา